3 จุดเด่น Ford Everest SUV สายพันธุ์แกร่ง
ฟอร์ดเข้าใจจุดประสงค์ในการใช้รถที่แตกต่าง Next-Gen Ford Everest ที่กำลังจะยกขึ้นมาพูดมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย Everest Trend, Everest Sport, Everest Titanium แล้วแต่ละจุดเด่นของฟอร์ดเอเวอเรสต์นี้มีอะไรบ้างล่ะ? แต่ละรุ่นแตกต่างกันอย่างไร รถเอสยูวีสายลุยที่มาพร้อมกับความแข็งแกร่ง และเทคโนโลยีสุดล้ำสมัยตามมาตรฐานจากฟอร์ด เข้าถึงทุกการใช้งานได้อย่างตอบโจทย์ มอบประสบการณ์การขับขี่และสมรรถนะที่ดีกว่า
3 จุดเด่น Ford Everest Trend
รถเอนกประสงค์ขับเคลื่อน 2 ล้อ ราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นเพียง 1,354,000 บาท ฟังก์ชั่นการใช้งานง่ายและเพียงพอต่อการขับขี่ในชีวิตประจำวัน พร้อมระบบเลือกโหมดการขับขี่ 4 โหมด เปลี่ยนการขับขี่จำเจด้วย Ford Everest Trend
1. แท่นชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สาย (Wireless Charging) เทคโนโลยีสุดล้ำจากฟอร์ดที่คุณสามารถชาร์สมาร์ทโฟนบนแท่นชาร์จได้ โดยไม่ต้องเสียบสายชาร์จให้วุ่นวาย แต่ก็มีข้อจำจัดบางประการ ซึ่งแท่นชาร์จแบบไร้สายรองรับเฉพาะรุ่นที่รองรับการชาร์จแบบไร้สายเท่านั้น หมดห่วงเรื่องแท่นชาร์จไม่เพียงพอ เพราะภายในยังมีช่องต่อไฟ 12V 3 ช่อง และช่องต่อ USB 2 ตำแหน่ง อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทาง
2. เบรกมือไฟฟ้าและระบบช่วยเหยียบเบรก สะดวกสบายกว่าการดึงเบรกมือทั่วไป มีประสิทธิภาพมากกว่าเบรกมือหลายเท่า ระบบสามารถช่วยเหยีบเบรกที่สามารถหยุดรถได้อย่างกระทันหัน ทำให้รถมีแรงส่งขณะกำลังเข้าเกียร์ D และเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น เบรกมือไฟฟ้าจะทำงานอย่างทันท่วงที วิธีการใช้งานไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ปิดประตูฝั่งคนขับให้สนิท เข้าเกียร์ D เหยีบคันเร่งแล้วออกรถตามปกติ
3. หน้าจอสัมผัส Multi -Touch ขนาด 10.1 นิ้ว จุดเด่น Next-Gen Ford Everest ที่คุณไม่ควรพลาด สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายกับสมาร์ทโฟนผ่านระบบ Wireless Apple CarPlay® หรือ Android Auto™ และระบบ SYNC® 4A เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกอย่างเต็มรูปแบบ ช่วยลดอัตราการละสายตาในขณะขับขี่ เชื่อมต่อง่ายดายผ่านสัญญาณสัญญาณบลูทูธบนสมาร์ทโฟนของคุณ
3 จุดเด่น Ford Everest Sport
เอาใจสำหรับสบายสปอร์ตเป็นพิเศษ ด้วยการออกแบบทั้งภายนอกและภายในดุดันสมเป็นฟอร์ด เน้นการตกแต่งด้วยโทนสีเข้มอย่างลงตัว นอกจากการออกที่สปอร์ตจนสะกดทุกสายตา เทคโนโลยีสุดล้ำยังทำให้การขับขี่สนุกยิ่งขึ้น ราคาเริ่มต้นเพียง 1,484,000 บาท จุดเด่น Next-Gen Ford Everest จัดเต็มแบบไม่กั๊ก
1. ดีไซน์สปอร์ต สวยเข้มเข้มจุใจ ด้วยชุดแต่งภายนอกสีดำสปอร์ต ตกแต่งตัวอักษร EVEREST สีดำเงา ติดฝากระโปรงหน้า และไฟท้ายแบบ LED เอกลักษณ์เฉพาะตัวจากฟอร์ด โดดเด่นตั้งแต่แรกเห็น นอกเหนือจากดีไซน์ภายนอกที่เตะตาแล้วภายในห้องโดยสารยังตกแต่งด้วยเบาะหนังและหนังสังเคราะห์สีดำสุดพรีเมียม พร้อมล้ออัลลอยสีดำเงาขนาด 20” เพิ่มความสปอร์ตอย่างสมบูรณ์แบบ
2. ประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนฟรี ล้ำกว่าด้วยเทคโนโลยีเปิด-ปิดประตูท้ายอัตโนมัติ ทำงานง่ายดายแม้มีสัมภาระเต็มมือ สัญญาณเซนเซอร์จะทำงานต่อเมื่อมีกุญแจอยู่บริเวณใกล้ เพียงแตะขาเข้าออก 1 ครั้งอย่างรวดเร็ว ที่บริเวณกึ่งกลางกันชนหลัง ประตูท้ายก็จะเปิดได้อย่าง่ายดาย ระบบจะหยุดการทำงานเมื่อกุญแจไม่ได้อยู่ในบริเวณอันใกล้ เพื่อความปลอดภัยในการสูญเสียทรัพย์สิน
3. Cruise Control หรือระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ สามารถรักษาความเร็วรถให้คงที่ เหมาะสำหรับการเดินทางไกลที่ต้องเหยียบคันเร่งเป็นเวลานาน โดยควบคุมความเร็วจากความเร็วต่ำตามที่กำหนด ระบบจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในสภาพการจราจรที่ไม่ติดขัด นอกจากนั้นยังช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันข้างหน้าอัตโนมัติ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน
3 จุดเด่น Ford Everest Titanium+
รถ SUV ขนาด 7 ที่นั่ง ไฮท์ไลต์จากตระกูล Everest พร้อมเครื่องยนต์ที่มีกำลังส่งสูงสุดถึง 210 แรงม้า การขับขี่เหนือกว่าอีกระดับด้วย Everest Titanium+ ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างชาญฉลาด สะกดทุกสายตาด้วยการดีไซน์และการตกแต่งที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวจากฟอร์ด แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ซึ่งดีเอ็นเอความเเข็งแกร่ง เพื่อตอบโจทย์การใช้งานอย่างตรงจุด Everest Titanium+ จึงมีระบบขับเคลื่อน 2 แบบ
1. Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×2 10AT ราคาเริ่มต้น 1,724,000 บาท
- เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ด้วยการทำงานอย่างหลักแหลม ระบบจะเพิ่มสปีดเกียร์อัตโนมัติโดยไม่ต้องรอให้ครบรอบ ทำให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้น โดยจะปรับความเร็วให้เหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์ที่ในขณะนั้น และสามารถเพิ่มสปีดได้แบบไม่ต้องเรียงลำดับความเร็ว อีกหนึ่งจุดเด่น คือ เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ช่วยควบคุมระดับเกียร์ต่ำในขณะลงจากทางลาดชั้น
- หลังคา Panoramic Moonroof ยกระดับการขับขี่อย่าง Luxury สัมผัสบรรยากาศรอบตัวในขณะเดินทาง จุดเด่นไม่ได้มีแค่หลังคาที่เปิด-ปิดได้เท่านั้น หลังคา Panoramic Moonroof ยังช่วยให้รถระบายอากาศทุกสภาพอากาศได้อย่างดีเยี่ยม มอบความรู้สึกโปร่งสบายไม่อึดอัด ฟอร์ดใส่ใจทุกรายละเอียดจึงใส่ฟังก์ชั่นม่านกันแสงมาให้ หมดปัญหาเรื่องไอร้อนจากแดดในช่วงกลางวัน จุดเด่น Next-Gen Ford Everest รุ่น Titanium+ ที่มอบประสบการณ์การเดินทางอย่างเหนือระดับ
- กล้องมองรอบคัน 360 องศา เทคโนโลยีสุดล้ำจากฟอร์ด ช่วยทำให้การจอดรถง่ายดายขึ้น ด้วยมุมภาพรอบคันรถที่แสดงผลบนหน้าจอ Multi -Touch ขนาด 10.1 นิ้ว พร้อมเส้นคำนวณระยะทางแบบ 3 ระดับ โดย Everest Titanium+ จะมีกล้องติดที่กระจังหน้า กระจกมองข้าง และฝาท้ายประตู ทำให้มองเห็นได้อย่างรอบคัน สำหรับภาพมุมมองด้านหลังเฉพาะการถอยจอด หรือในขณะที่อยู่ในเกียร์ R มุมมองภาพมุมสูง 360 องศา จะปรากฏเมื่องอยู่ใน P, N หรือ D มอบทัศนวิสัยในการจอดทุกประเภท เช่น การถอยเข้าซอง การเทียบข้าง รวมถึงหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2.Everest 2.0L Bi-Turbo Titanium+ 4×4 10AT ราคาเริ่มต้น 1,874,000 บาท
- ขับเคลื่อน 4 ล้อ และระบบเลือกโหมดการขับขี่ 6 โหมด (โหมดปกติ, โหมดประหยัด, โหมดลากจูง, โหมดทางลื่น, โหมดโคลน, โหมดทราย) เพื่อการใช้งานในพืนที่ที่แตกต่าง ฟอร์ดจึงใส่เทคโนโลยีสำหรับระบบขับเคลื่อนมาโดยเฉพาะ เพราะทุกการเดินทางคือการผจญภัยบทใหม่ที่ต้องเจอ พร้อมระบบเปลี่ยนการขับเคลื่อนจาก 2 ล้อ เป็นระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อ ในขณะขับขี่ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดรถ
- ไฟหน้าแบบ Matrix LED ล้ำกว่าไฟ LED แบบทั่วไป ช่วยปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติจากการทิศทางการหันของพวงมาลัย เพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ช่วงกลางวันด้วยเทคโนโลยี Daytime Running Light โดยไม่ไปรบกวนการมองเห็นจากรถคันอื่น สามารถตั้งการเปิด-ปิดได้อย่างอัตโนมัติ รวมถึงสามารถคำนวณการเปิดไฟสูงได้จากสภาพแสงโดยรอบได้อย่างชาญฉลาด หมดห่วงเรื่องการเปิดไฟสูงรบกวนคันอื่น ระบบจะหรี่แสงไฟลงมาเมื่อเซนเซอร์ตรวจับหากมีรถขับสวนทาง
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC จุดเด่นที่มีเฉพาะรุ่น Titanium+ 4×4 การขับขี่บนทางลาดชันเป็นเรื่องน่าหวาดเสียว โดยเฉพาะช่วงขับลงจากทางลาดชัน เพราะความชันที่ดิ่งลงจะทำให้รถมีอัตราเร่งเพิ่มขึ้น ซึ่งระบบ HDC จะทำงานเมื่อรถมีอัตราความเร็วน้อยกว่า 35 km/h พร้อมทั้งช่วยควบคุมการทำงานของเบรกเป็นระยะ และหยุดทำงานทันทีเมื่อรถมีความเร็วมากกว่า 60 km/h เพื่อความปลอดภัยและสมรรถนะในการควบคุมความเร็วเหนือกว่าที่เคย
- เกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter 2 ด้วยระบบเกียร์ที่ชาญฉลาดนี้ทำมให้สามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณนำเท้าออกจากแป้นเบรก หรือเปิดประตูรถฝั่งคนขับในกรณีเหตุฉุกเฉิน รถจะทำการเปลี่ยนจากเกียร์ D เป็นเกียร์ P อย่างอัตโนมัติ ช่วยลดโอกาสอุบัติเหตุจากการลงเกียร์ค้างไว้ พร้อมทั้งเทคโนโลยีในการช่วยจอดอัจฉริยะ โดยระบบ จะช่วยบังคับพวงมาลัย ปรับเกียร์และความเร็วตามความเหมาะสม