DPF คืออะไร?
DPF คือ ระบบกรองดักจับเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ให้เหลือน้อยที่สุด ป้องกันควันดำจากท่อไอเสีย กระบวนการเผาไหม้จะเกิดขึ้นอัตโนมัติ
- ดักจับเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้
- เผาไหม้เขม่าที่ดักจับไว้ให้เหลือน้อยที่สุด ก่อนผ่านการกรองโดยใช้อุณหภูมิ 550 ˚C
- กระบวนการเผาไหม้จะเกิดขึ้นอัตโนมัติ
ลักษณะการทำงานของ DPF มี 2 แบบ
1.การกำจัดเขม่าแบบ Passive
การทำงานจะเกิดขึ้นเองระหว่างใช้รถตามปกติ เมื่อมีความเร็วมากกว่า 7 กม./ชม. และรอบเครื่องยนต์ต้องอยู่ระหว่าง 1500-3000 รอบต่อนาที
สาเหตุที่ DPF แบบ Passive ไม่ทำงาน
- เดินเครื่องเบาเป็นเวลานาน มีการเร่ง ลดความเร็ว และหยุดนิ่งบ่อยๆ เช่น รถติด หรือขับช้าเกินไป
- ขับขี่ในระยะทางสั้นๆ การขับขี่ในแต่ละครั้งไม่เกิน 10 – 15 นาที
- รอบเครื่องยนต์ไม่ถึง 1500 รอบต่อนาที
- รอบการขับขี่ความเร็วต่ำ
- เครื่องยนต์ร้อนไม่พอ
2.การกำจัดเขม่าแบบ Active เกิดขึ้นเมื่อมีข้อความแจ้งเตือน
ข้อความจะแจ้งเตือนหน้าจอให้ขับรถเพื่อทำความสะอาดไส้กรอง หากรถเข้าเงื่อนไขการกำจัดเขม่า หน้าจอจะแสดงข้อความกำลังดำเนินการ และข้อความจะหายไปเมื่อกระบวนการเสร็จสิ้น
DPF เตือน Service Now ต้องทำอย่างไร
- หากมีการแจ้งเตือน Service DPF เกิดจากระบบไม่สามารถกำจัดเขม่าด้วยวิธี Passive หรือ Active ได้แล้ว อาจเกิดจากการอุดตัน ต้องนำรถเข้าศูนย์บริการ
- การใช้งานรถที่เข้าเงื่อนไข DPF
- ค่อยๆ ทำความเร็วรถยนต์สูงขึ้นในการขับขี่ปกติ ต่อเนื่องอย่างน้อย 20 นาที
- หลีกเลี่ยงการเดินเบาเป็นเวลานาน
เลือกเกียร์ที่เหมาะสมเพื่อรักษาความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ระหว่าง 1500-3000 รอบต่อนาที
AdBlue คืออะไร
- น้ำยาบำบัดไอเสียในเครื่องยนต์ดีเซล จะมีการฉีดเข้าระบบเพื่อทำความสะอาดก๊าซไอเสีย
- เป็นน้ำยาไม่มีพิษ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่ไวไฟ
- AdBlue® ถูกจัดเก็บไว้ในถังขนาดเล็ก ผู้ขับขี่จะต้องหมั่นเติม AdBlue® เช่นเดียวกับน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซล
- เมื่อเติมสาร AdBlue ลงไป ยังคงทำให้รถยังคงมีพละกำลังและสมรรถนะในการขับขี่ขั้นสูงเช่นเดิม แต่ปล่อยไอเสียออกมาในปริมาณที่น้อยลง
ข้อห้าม
- อย่าเติมนํ้ามันเชื้อเพลิงหรือสารเติมแต่งใดๆ ลงในถัง AdBlue เนื่องจากจะทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งไม่ครอบคลุมในการรับประกันรถยนต์
- อย่าเติม AdBlue® จนล้นถัง
- อย่าเจือจาง และอย่าให้โดนแสงแดด
- จัดเก็บ AdBlue® ที่อุณหภูมิระหว่าง -5°C ถึง 20°C
- ไม่ควรดเก็บสาร AdBlue® ไว้ภายในรถยนต์เป็นเวลานาน
- อย่าสตาร์ทเครื่องยนต์ หากเติมของเหลวผิดประเภทเข้าไปในถังสาร AdBlue® ต้องนำรถยนต์เข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบโดยเร็วที่สุด
- การเติมสารหรือของเหลวผิดประเภทเข้าไปในถัง AdBlue® กรณีเกิดความเสียหายแก่เครื่องยนต์ ไม่อยู่ในเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพ
ข้อควรระวัง
- ควรเติมสาร AdBlue® ทันที เมื่อสารลดลงจนอยู่ในระดับตํ่า หากมีสารปนเปื้อนให้เปลี่ยนใหม่ทันที เพราะรถจะไม่สามารถสตาร์ทได้จนกว่าจะเติมหรือเปลี่ยนถ่ายสาร AdBlue
- การดัดแปลงหรือการปิดใช้งานระบบ AdBlue จะส่งผลให้มีการจำกัดสมรรถนะของรถยนต์ และรถยนต์จะสตาร์ทไม่ได้ และจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากการรับประกันรถยนต์ในส่วนที่เกี่ยวของ
ขั้นตอนการเติมสาร Adblue
- เปิดฝา + ขันหัวจ่ายกับแกลลอน AdBlue ให้แน่น
- เสียบหัวจ่ายไปยังช่องเติม AdBlue ที่ตัวรถ (อยู่ใกล้ฝาถังน้ำมัน)
- ยกแกลลอนเทสาร AdBlue จนเต็ม แล้วหยุดเท
- ถอดหัวจ่าย ปิดฝาแกลลอน ปิดฝาช่องเติมสาร AdBlue ที่ตัวรถให้สนิท
หมายเหตุ: สารจะหยุดไหลเมื่อสารเต็มถัง
- เมื่อเติมสาร AdBlue® หมดถัง เมื่อเติมเข้าไปใหม่ ต้องรอระยะเวลาสักพัก ก่อนที่ระบบจะบันทึกระดับที่เติมเข้าไปใหม่
- หากถังสาร AdBlue® อยู่ในอุณหภูมิติดลบเป็นน้ำแข็ง หน้าจอจะแสดงเตือนว่าไม่มีสาร AdBlue
- การสิ้นเปลือง AdBlue® แปลผันตามสถนาการณ์ เช่น ลักษณะการขับขี่ ความเร็วในการขับขี่ อุปกรณ์เสริมที่เพิ่มเข้ามา นํ้าหนักบรรทุก และการลากจูงเป็นต้น
- การเติม B20 ไอเสียจะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้อัตราสิ้นเปลือง AdBlue เพิ่มขึ้น