รับมือ! เติมน้ำมันผิด แก้อย่างไรไม่ให้รถพัง
‘95 เต็มถังเลยน้อง’ คงเป็นประโยคที่ได้ยินอย่างคุ้นหูตามปั๊มน้ำมันทุกแห่ง เป็นเรื่องปกติที่เมื่อใดมีรถ เมื่อนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายเติมน้ำมัน โดยทั่วไปแล้วเรามักเคยชินกับการเติมน้ำมันตามคำแนะนำจากเซลล์หรือคู่มือการใช้รถ แต่ถ้าโชคไม่เข้าข้าง จู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์เติมน้ำมันผิดขึ้น จะทำอย่างไรดี รถจะพังไหม และมีวิธีแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร เราไปหาคำตอบด้วยกันเลย
เติมน้ำมันผิดทำอย่างไร ?
เมื่อเกิดเหตุการณ์ดั่งกล่าวขึ้นแล้วควรแก้ไขอย่างไรดี เพื่อให้รถเกิดความเสียหายน้อยที่สุด เพราะปัจจุบันน้ำมันที่นิยมใช้อยู่มีหลายประเภท การเติมน้ำมันที่ต่างไปจากที่เคยเติม จึงกลายเป็นอีกหนึ่งความเสียหายที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้น หากรถได้สูบน้ำมันดั่งกล่าวเข้าไปยังตัวเครื่องเรียบร้อยแล้ว อาจจะต้องสังคายนาชุดใหญ่เลยก็เป็นได้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยิบย่อย ๆ แต่เพื่อความปลอดภัยของรถควรเลือกใช้บริการทีมช่างคุณภาพอย่าง Ford RMA ไม่ว่าปัญหาจะวิกริตแค่ไหนก็เอาอยู่ ซึ่งการเติมน้ำมันพลาดสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 : ยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์
1. ตั้งสติ และห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์
เมื่อรู้ว่าได้เติมน้ำมันไม่ถูกประเภทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ทุกคนต้องทำเป็นลำดับแรก คือ ตั้งสติให้ดี และห้ามบิดกุญแจสตาร์ทรถเด็ดขาด เพราะการสตาร์ทเครื่องเป็นการส่งน้ำมันไปยังระบบรถ ส่งผลต่อการใช้งานของรถอย่างแน่นอน ให้ลงเกียร์ว่างและเรียกน้องพนักงาน หรือคนแถวนั้นให้ช่วยเข็นรถไปยังลานจอดรถ เพื่อไม่เป็นการขวางทางหัวจ่ายน้ำมันสำหรับรถคันอื่นที่ต่อคิว หลังจากนั้นโทรหา Customer Service ของศูนย์บริการคุณภาพที่ไว้วางใจ หรือศูนย์บริการที่ใกล้ที่สุด
2. ถ่ายน้ำมันออกและเปลี่ยนไส้กรอง
เมื่อรถอยู่ในมือของทีมช่างเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนนี้ต้องถ่ายน้ำมันที่ได้เติมผิดออกจากตัวถังทั้งหมด ซึ่งจำเป็นต้องถอดตัวถังออกมาจากรถเพื่อเดรนน้ำมันออกทุกหยด ข้อดีของการถอดตัวถังออกมา คือ สามารถตรวจเช็ครอยรั่วตามตัวถังเพิ่มเติม และทำการประกอบคืน หลังจากที่เดรนน้ำมันออกหมดแล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันใหม่ให้รถอีกด้วย เพื่อประสิทธิภาพการกรองใช้กรองของเสียและสิ่งปรกที่ปนเปื้อนมากับน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น
Tips : โดยปกติต้องเปลี่ยนไส้กรองเป็นประจำทุก ๆ 5,000 ถึง 20,000 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับประเภทของของน้ำมันเครื่อง) หรือเปลี่ยนไส้กรองทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไม่ควรปล่อยให้ตัวกรองสกปรกจนไม่สามารถกรองของเสียได้เลย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรถได้ในที่สุด เช่น เร่งความเร็วไม่ขึ้น แรงดันน้ำมันต่ำ รถมีควัน
3. สังเกตอาการผิดปกติ
ขั้นตอนสุดท้ายในการแก้ไขปัญหาการเติมน้ำมันผิด คือ สตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อสังเกตอาการผิดปกติสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ตัวถังได้ส่งน้ำมันที่ถูกต้องไปยังเครื่องยนต์ หลังจากที่สตาร์ทเครื่องสังเกตอาการณ์เบื้องต้นจนครบกำหนดเวลาแล้ว ทีมช่างจะนำรถไปทดลองขับด้วยความเร็วเริ่มที่ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง และค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้นตามลำดับ สังเกตอาการณ์อย่างละเอียดขณะขับขี่ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาในภายหลัง
กรณีที่ 2 : สตาร์ทเครื่องยนต์ไปแล้ว
สำหรับกรณีนี้ค่อนข้างซับซ้อนขั้นตอนเสียหน่อย เนื่องจากรถได้สูบฉีดน้ำมันไปยังภายในตัวเครื่องแล้ว อาจจะมีการถอดล้าง หรือเปลี่ยนอุปกรณ์บางชนิด เพื่อให้รถได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
1. ดับเครื่องให้เร็วที่สุด
เมื่อรู้ตัวว่าเติมน้ำมันคนละชนิดและได้สตาร์ทเครื่องสักพักหนึ่งแล้ว รีบหาที่จอดรถพร้อมกับดับเครื่องยนต์ และโทรแจ้งไปยัง Customer Service ของศูนย์บริการ เพื่อแจ้งเหตุดังกล่าว
2. เดรนน้ำมันออก และเปลี่ยนอุปกรณ์บางส่วน
แน่นอนว่าการสตาร์ทเครื่องยนต์ขณะที่มีน้ำมันผิดประเภทอยู่ในตัวถัง ส่งผลให้เครื่องยนต์ภายในได้รับความเสียหายบางส่วน หลังจากที่ถ่ายน้ำมันออกเรียบร้อยแล้ว ต้องทำการเปลี่ยนไส้กรองใหม่ ถอดล้างทำความสะอาดหัวฉีดหรือหัวเทียน ทำความสะอาดปั๊มหัวฉีด รวมไปถึงตรวจเช็คก้านวาล์ไอดี-ก้านวาล์วไอเสียว่าได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด ถ้าอุปกรณ์ดังกล่าวเกิดความเสียหายมากจนส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ให้ทำการเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
3. ตรวจเช็คอาการผิดปกติ
ขั้นตอนสุดท้ายหลังได้รับการดูและชิ้นส่วนภายในอย่างละเอียดแล้ว ทางทีมช่างจะเติมน้ำมันที่ถูกต้องประมาณหนึ่ง แล้วทำการสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้สักพักหนึ่ง เพื่อสังเกตการทำงานและสัญญาณไฟแจ้งเตือนจากหน้าปัดรถ และทดลองขับโดยเริ่มจากความเร็วคงที่ ประมาณ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง และค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้นตามลำดับ
อาการผิดปกติเมื่อเติมน้ำที่ไม่ใช่
โดยทั่วไปแล้วรถยนต์สามารถแบ่งออกได้ทั้งหมด 2 เครื่องยนต์ตามน้ำมันที่เติม ด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบนี่เองจึงทำให้เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมข้างใน รถจะแสดงอาการผิดปกติมาทันที รถต้องทำงานหนังเพื่อนกำจัดสิ่งสกปรกที่เล็ดลอดเข้ามา
1. เครื่องยนต์ดีเซลแต่เติมน้ำมันเบนซิน
- สตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ค่อยได้
- รถปล่อยควันดำออกมา
- เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ ขับสะดุด และเครื่องยนต์ดับ
- สตาร์ทเครื่องได้ แต่เหยียบคันแร่งแล้วรถดับทันที
- อุปกรณ์ภายในได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะไส้กรอง
2.เครื่องยนต์เบนซินแต่เติมน้ำมันดีเซล
- ไม่สามารถเร่งเครื่องได้อย่างปกติ อัตราเร่งไม่เข้าที่
- เครื่องยนต์เกิดเสียงดังขณะขับขี่
- เครื่องยนต์ดับ และไม่สามารถสตาร์ทใหม่ได้
- ระบบภายในได้รับความเสียหายจากการเผาไหม้ เช่น หัวฉีดอุดตัน ไส้กรองเป็นคราบ
- เครื่องยนต์หนืด เผาไหม้ยากมาก
มีสติทุกครั้งก่อนเติมน้ำมัน
น้องพนักงานจะนำป้ายเตือนสิ่งที่ไม่ควรทำขณะที่กำลังเติมน้ำมันแทบทุกครั้ง การดับรถยนต์ระหว่างเติมก็จัดอยู่หนึ่งในสิ่งที่ควรทำ มากกว่าการป้องกันการเกิดประกายไฟที่มาจากความเสี่ยงต่าง ๆ ยังสามารถป้องกันไม่ให้รถสูบน้ำมันที่เติมผิดเข้าไปในระบบได้ วิธีป้องกันก็เบสิคสุด ๆ ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเติมน้ำมันดู รับรองปลอดภัยแน่นอน
- ดับรถทุกครั้งขณะเติมน้ำมัน
- บอกน้องพนักงานอย่างชัดเจนว่าต้องการน้ำมันอะไร
- หันไปสังเกตว่าน้องพนักงานหยิบหัวจ่ายน้ำมันถูกต้องหรือไม่
- ตรวจสอบใบเสร็จทุกครั้งหลังชำระเงิน
น้ำมันรถยนต์มีกี่ประเภท
ปัจจุบันประเทศไทยมีเชื้อเพลิงอยู่ทั้งหมด 2 ชนิด ได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล ส่วนแก๊สโซฮอล์จัดอยู่ในประเภทพลังงานทดลอง ที่ถูกผสมระหว่างน้ำมันแต่ละประเภทกับสารเคมีบางชนิด แต่ทำไมเครื่องยนต์รถจึงมีทั้งหมด 2 ประเภทหล่ะ? เพราะว่าน้ำแก๊สโซฮอล์จัดเป็น Subset ย่อยของน้ำมันเบนซินนั้นเอง
- น้ำมันเบนซิน 91 (เบนซินธรรมดา) มีค่าออกเทน 91 ไม่มีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์เลย เผาไหม้ดีระดับหนึ่ง แต่ได้ถูกยกเลิกการผลิตไปหลายปีแล้ว เพื่อเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทน
- น้ำมันเบนซิน 95 (เบนซินชนิดพิเศษ) มีค่าออกเทน 95 และไม่มีสารตะกั่ว สามารถใช้ได้กับรถยนต์ทุกประเภท การเผาไหม้ดีเยี่ยม ให้ประสิทธิภาพสูงสุด
- แก๊สโซฮอล์ 91 ทั้งประเภท E10, E20 และ E85 แฝดละคนฝากับเบนซิน 91 สามารถใช้แทนกันได้ แต่ปัจจุบันไม่มีเบนซิน 91 แล้วนะ ซึ่งเป็นน้ำมันได้ถูกผสมผสานระหว่าง ‘น้ำมันเบนซิน กับ เอทิลแอลกอฮอล์’ ในสัดส่วนที่ต่างกันแต่ละสูตร เช่น
- E10 = น้ำมันเบนซิน 90% ผสมกับ เอทิลแอลกอฮอล์ 10%
- E20 = น้ำมันเบนซิน 80% ผสมกับ เอทิลแอลกอฮอล์ 20% (ไร้สารตะกั่วผสม ให้ประสิทธิภาพคล้ายกับ แก๊สโซฮอล์ 91 หรือ แก๊สโซฮอล์ 95 อย่างที่สุด)
- E85 = น้ำมันเบนซิน 15% ผสมกับ เอทิลแอลกอฮอล์ 85% (ประสิทธิภาพอาจจะเทียบเท่ากับเบนซินไม่ได้ รวมไปถึงระเหยในอากาศร้อนได้ง่าย แต่ราคาในท้องตลาดค่านข้างถูก)
ระวัง! รถบางชนิดระบุให้เติมได้แค่แก๊สโซฮอล์ 91 โปรดศึกษาคู่มือรถอย่างละเอียดก่อนทุกครั้ง เพื่อประสิทธิภาพแล้การใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น
- แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกออกแบบเชิงพลังงานทดแทน สามารถใช้แทนน้ำมันเบนซิน 95 ได้อย่างสบาย ต้นกำเนิดเกิดจากการรวมตัวระหว่างน้ำมันเบนซิน 91 กับ เอทิลแอลกอฮอล์ ข้อดีคือราคาประหยัด ประสิทธิภาพการเผาไหม้สูง แต่ระเหยในความร้อนได้ง่าย
- ไบโอดีเซล เริ่มเอ้ะ! แล้วหล่ะสิ ไบโอดีเซลสามารถนำมาใช้กับรถยนต์ได้จริงหรอ ส่วนมากเราคุ้นชินกับการใช้ไบโอดีเซลในการประกอบอาหารมากกว่า เพราะถูกผลิตมาจากน้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ เมื่อนำมาผสมกับเอสเทอร์แอลกอฮอล์แล้ว กลับให้ผลลัพธ์ที่ดีเลยทีเดียว เป็นน้ำมันที่เผาไหม้ได้สะอาดกว่า ที่เราพบเห็นมากที่สุด คือ B7 และ B20
- B7 = มันดีเซล 93% ผสมกับ ไบโอดีเซล 7%
- B20 = น้ำมันดีเซล 80% ผสมกับ ไบโอดีเซล 20%
ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมละ ว่าการเติมน้ำมันผิดไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหากรู้ตัวทันอย่างทันท่วงที ทางที่ดีที่สุด คือ การมีสติทุกครั้งก่อนเติมน้ำมัน หันกลับไปดูที่หัวจ่ายน้ำมันทุกครั้งว่าน้องพนักงานเติมถูกหรือไม่ เพื่อยืดอายุการใช้งานรถได้อย่างยาวนานที่สุด และควรเช็คสภาพรถเป็นประจำเมื่อถึงกำหนด เมื่อใช้รถไปสักระยะหนึ่งแล้วชิ้นส่วนภายในย่อมเสื่อมประสิทธิภาพได้ ที่สำคัญอย่าลืมเลือกศูนย์บริการมืออาชีพอย่าง Ford RMA บริการมาตรฐานจากทีมช่างที่ผ่านการอบรมจาก ฟอร์ด มอเตอร์ (ประเทศไทย)
ขอบคุณข้อมูล : https://youtu.be/ZI-n7_H04io , ไบโอดีเซลคืออะไร
——————— Ford RMA ยินดีให้บริการ ———————
ติดต่อรับรถเข้าศูนย์บริการ : 02-407-0999
ID Line : @fordrma.th
Link LINE : https://lin.ee/mmPcYDU
ฟอร์ดกัลปพฤกษ์ : 02-416-1555
ฟอร์ดพระราม4 : 02-713-6000
ฟอร์ดราชพฤกษ์ พระราม5 : 02-432-6599
ฟอร์ด หัวหมาก : 085-661-2488
Google Map ฟอร์ดกัลปพฤกษ์ : https://g.page/FordKalpapruek?share
Google Map ฟอร์ดอาร์เอ็มเอ สาขาพระราม 4 : https://g.page/FordRama4RMA?share
Google Map ฟอร์ดราชพฤกษ์ พระราม5 : https://g.page/fordrama5?share
Facebook : https://www.facebook.com/Cityfordrma/
Website : https://www.fordrma.com/